วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ท้อแท้กับปัญหามากมายท ำอย่างไรดี

ท้อแท้กับปัญหามากมายท ำอย่างไรดี  หลายคนอาจจะกำลังท้อแท้อยู่ ไม่ว่าจะปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัว ปัญหาคนภายในครอบครัว ปัญหาเรื่องของคนข้าง ๆ (แฟน,กิ๊ก) ปัญหาลูกน้อง เราลองมาฟัง สาระดี ดี มีข้อคิดจาก อ.แอน ว่า....
เราควรจัดการความท้อแท้ตอนนี้ได้อย่างไร ..ปลาที่ยังเป็นอยู่ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำ ส่วนปลาตายมักไหลตามน้ำปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข  ปกติคนเรามักมีทิฐิ ถ้าเราใช้ปัญญาในการแก้ไข เราเป็นคนมีสัมมาทิฐิ ถ้าเรางอมืองอเท้า เราตีโพยตีพาย นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้ ยังเป็นที่รำคาญแก่คนอื่น ไม่เป็นที่พึ่งของใครได้แล้ว ยังได้ชื่อว่า มีมิจฉาทิฐิ อีกด้วย และคนที่มีมิจฉาทิฐิ อาจตัดสินใจอะไรที่ผิด นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองต่อไป  การที่เราจะมีปัญญาได้ต้องเป็นคนที่มีสติระลึกได้ มีการใคร่ครวญพิจารณา ไม่บุ่มบ่าม คิดการให้รอบคอบ วางแผนเป็นขั้นตอน และต้องคาดคำนวณได้ว่าทำอย่างนี้จะมีผลต่อไปอย่างไร ไม่ใช่คิดเอาแต่ "ทำ" โดยไม่คำนวณ หรือ คาดการณ์ถึงผลที่จะตามมา สติจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีสมาธิที่ตั้งมั่นจนใช้งานได้ ไม่ได้หมายความว่า นั่งแค่สมาธิเพียงอย่างเดียว  การกระทำทุกอย่าง ไม่ว่า ทำงาน เรียนหนังสือ อ่านหนังสือ ทุกกิจกรรม แม้กระทั่ง กวาดบ้าน สามารถใช้สมาธิในการทำงานทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง อย่างตั้งใจไม่เบื่อหน่ายจนงานนั้นเสร็จสิ้น แสดงว่า เรามีสมาธิที่ตั้งมั่น เข็มแข็งพอใช้งานได้ ถ้าเราอดทนทำงาน ดูหนังสือได้โดยไม่เบื่อหน่าย  แสดงว่าเรามีความเพียร และความอดทน นี่เป็นคุณสมบัติของผู้มีปัญญา การใช้ปัญญา ต้องมีความอดทนที่จะรอคอย มีสติที่แจ่มใส มองปัญหาทะลุปรุโปร่ง มีสมาธิในการมอง แยกแยะ ค่อยสาวทีละเรื่อง และเพียรในการแก้ปัญหาทีละเรื่อง เหมือนเป็นการลับสมองลองปัญญา วัดระดับไอคิวนั่นเอง และถ้าไปในทางธรรม ผู้มีปัญญาจึงจะเข้าถึงธรรมโดยง่าย จึงสามารถใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม อย่าท้อแท้ยามมีปัญหา เพราะโอกาสที่จะแสดงว่าเรามีปัญญามาถึงแล้ว และจะได้คะแนนเต็มหรือ สอบตก อยู่ที่ผลของการแก้ปัญหานั้น ได้ลุล่วงจนเราพอใจหรือไม่ ทั้งไม่ทำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและผู้อื่น นั่นแหละ เรามีปัญญาแล้ว ขอขอบคุณสาระดี ดีจาก อาจารย์แอนค่ะ

ไหว้พระขอพรอะไรดี

ไหว้พระขอพรอะไรดี - ข้อนี้ประเสริฐ อย่างยิ่ง ที่เริ่มจะรู้จักการไหว้พระให้เป็น แน่นอนก่อนไหว้พระ เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจสงบสำรวม มีความตั้งใจไหว้พระสวดมนต์ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคล จิตใจสงบ หลังจากไหว้พระเสร็จ หลายคนสงสัยว่า ขอพรอะไรถึงจะดี มีคำแนะนำเก็บมาเล่าจากสาระดี ดี.....มีข้อคิด  จาก อ.แอน ว่า....

(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม(ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง-ข้อนี้แสดงว่าพึ่งบัญญัติ) 


ขออย่าให้โลภจน หน้ามืด  ถ้าคนเรารักที่จะเป็นผู้ให้และนึกถึงคนอื่นก่อนตนเอง ก็จะไม่มีคำว่าโลภจนหน้ามืด ถ้าเริ่มฝึกเป็นคนมีอารมณ์ความคิดที่จะให้ทานโดยสม่ำเสมอ ความโลภจนหน้ามืด กระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำจะไม่เกิดอย่างแน่นอน 
ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตนเอง ข้อนี้แก้ด้วยความเมตตา อารมณ์สงสาร จะเกิดได้ถ้าคนนั้นมีเมตตา หากเราพบคนที่ขาดอารมณ์สงสาร ขาดอารมณ์ที่คิดถึงใจเขาใจเรา คนนั้นเป็นคนพาล ไม่ใช่บัณฑิตที่ควรคบ ถ้าเราตั้งอารมณ์ไว้ชอบ ของการคิดถึงคนอื่นก่อน ใจเขาใจเรา นั่นคือ เบื้องต้น ของพรหมวิหารสี่ ซึ่งประกอบด้วย เมตตา กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข มุทิตา ยินดีที่ผู้อื่นเป็นสุขแล้ว และอุเบกขา สามารถวางเฉยไม่ให้เกิดอารมณ์อันประกอบด้วย คติทั้งสี่ ได้แก่ ฉันทาคติ ความลำเอียงด้วยความรัก ความพึงใจ เข้าข้าง อคติ คือ ความไม่พึงใจรังเกียจ เพราะมีคติที่เป็นลบ ภยาคติ คือ อารมณ์กลัว เลยท าให้ท าทุกอย่างเพื่อขจัดอารมณ์กลัว แม้กระทั่งโกหก เพื่อให้คนเห็นว่าตัวดี กลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าตัวเองไม่ดี และ โทสะคติ ตัดสินอะไรด้วยอารมณ์โกรธ ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำอะไร ต้องปลอดจากคติทั้งสี่ ประกอบด้วยการให้อภัย เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เราจะไม่เป็นคนที่โกรธจนทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน 
ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว  ข้อนี้คือ การทำตามอารมณ์รัก จนไม่รู้ขอบเขต ก่อให้เกิดความเสียใจต่อคนรอบข้างและทำลายอนาคตตนเอง อย่างนี้เรียกว่า หลงในรัก ด้วยอารมณ์กำหนัดยินดี แต่ถ้าเรากำหนดรู้ ให้รักอย่างมีขอบเขตไม่ก่อเรื่องให้เดือดร้อนต่อตนเอง และไม่ทำลายอนาคตใคร ก็ยังไม่ขึ้นชื่อว่า หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ความโลภ ได้อธิบายแล้ว คือ อย่าหลงโลภ จนละเมิดในศีล อยากได้ของของเขา อยากได้ของเพื่ออวดคนอื่น จนเกินกำลังของตนเอง ถ้ากำหนดรู้ได้ ควบคุมได้ประเสริฐเลิศกว่า ทรัพย์สินสิ่งของที่ไว้อวดคนอื่น อย่าหลงตัวเองว่าดีแล้ว เพราะตราบใดที่เรายังมี คติทั้งสี่ นำหน้าในการตัดสินใจทุกสิ่ง เรากำลังหลงตัวเองว่าทำถูกแล้ว ความอยากทำตามอารมณ์ ไม่ฟังผู้รู้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือ บัณฑิตที่เรานับถือ จะนำภัยมาสู่ตน ถ้าเรามีการเตือนสติตนเองตามแนวที่พระพุทธองค์สอนอย่างนี้ เท่ากับได้พรจากพระโดยไม่ต้องขอ
ขออย่าให้ตายใน สงคราม อย่าเป็นพวกใดทั้งสิ้น หลบอยู่ในหน้าที่ของตน ไม่ยุ่งเรื่องบ้านเมือง อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คอยฟังข่าวว่าเขาไปไหนกันเราก็ไม่ไป อย่างนี้ ก็จะได้พรข้อนี้โดยปริยาย ขอขอบคุณ สาระดี ดี จากอาจารย์แอน ค่ะ